ตายแล้วไม่สูญ แล้วไปไหน

“เดชะบุญ”

“เดชะบุญ” คือคณะบุคคลผู้เชี่ยวชาญศึกษาเฉพาะทางการจัดงานทำบุญปัญญาสมวาร 50 วัน – ศตมวาร 100 วัน ด้วยหลักพุทธศาสตร์เป็นสัมมาปฏิบัติ เดชะบุญมากด้วยประสบการณ์ความรู้ และวิธีการในการจัดงานอุทิศกุศลแด่ผู้วายชนม์จากเหตุเสียชีวิตทุกเพศทุกวัยทุกลักษณะ อาทิ เสียชีวิตจากโรคชรา โรคซึมเศร้า โรคโควิด โรคติดเชื้อ โรคร้ายต่างๆ อุบัติภัยต่างๆ อุบัติเหตุต่างๆ อัตวินิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) ฆาตกรรม เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร เป็นต้น

“เดชะบุญ” ทำการค้นคว้าและศึกษาหลักธรรมหลักปฏิบัติเพื่อให้ครอบครัวได้สามารถทำบุญอย่างถูกต้อง ช่วยผู้วายชนม์ให้คลายทุกข์กังวลได้รับบุญกุศล อันจะเป็นเสบียงบุญสำคัญต่อการเดินทางของจิตไปเกิดในภพภูมิใหม่ที่เปี่ยมสุขหลังความตาย เดชะบุญไม่ใช่ผู้จัดงานสมัครเล่นฉาบฉวย หรือเป็นพุทธพาณิชย์ที่เน้นความหรูหราฟุ้งเฟ้อสวยงามแต่ขาดความรู้หลักธรรมที่จะสื่อสารให้ครอบครัวสามารถบรรลุวิธีการอุทิศกุศลแด่ผู้วายชนม์ได้ อันเป็นหัวใจสำคัญของการทำบุญ 50-100 วัน อย่างบริสุทธิ์ด้วยศีลและบริบูรณ์ด้วยธรรม

www.เดชะบุญ.com ขออุทิศพื้นที่เว็บนี้เป็นสื่อที่ให้ทุกครอบครัวได้ช่วยผู้วายชนม์อย่างถูกหลักธรรม ไม่มู ไม่หลงงมงาย ไม่ขาดสติ ทุกเนื้อหาในwebsiteได้ถูกกลั่นกรองอ้างอิงจากหลักธรรม พระสูตร พระไตรปิฎก พระธรรมเทศนา นำมาถ่ายทอดเป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่ายๆสั้นๆ เพื่อให้ครอบครัวผู้วายชนม์ที่อาจยังไม่เคยศึกษาเรื่องราวของชีวิตหลังความตาย ได้รู้หลักเหตุและผลของกฎแห่งกรรมที่เป็นสากล อีกทั้งผู้อ่านได้มีสัมมาทิฏฐิ พิจารณาตรองใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทในขณะมีชีวิตอยู่

ด้วยความเคารพและปรารถนาดี

อาจารย์วิสิทธิ์ คุณนิรันดร/ เดชะบุญ

น.ธ.ตรี (นักธรรมตรี) ธรรมศึกษาตรี-โท-เอก

ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจัดงานทำบุญปัญญาสมวาร 50 วัน และศตมวาร 100 วัน

“ความเชื่อ” ไม่เหมือน “ความจริง”

ความเชื่อเป็นเรื่องทัศนคติ บ้างเป็นประเพณี บ้างเป็นค่านิยมท้องถิ่น มีถูกมีผิด มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา แต่..ความจริงแม้นไม่เชื่อก็เป็นเช่นนั้นไม่แปรเปลี่ยน เฉกเช่นในอดีตผู้คนเชื่อว่าโลกแบนมีดวงอาทิตย์เป็นบริวารโคจรรอบโลก แต่ความจริงคือโลกกลมและโคจรรอบดวงอาทิตย์มาตั้งแต่กำเนิดจักรวาล ชีวิตหลังชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน แม้นจะเชื่อว่าตายแล้วสูญ ชาติหน้าไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี บุญบาปไม่มีผล ก็เป็นแค่ความเชื่อส่วนบุคคล เรื่องตายแล้วไม่สูญก็เช่นเดียวกัน

เพราะความจริงสากลของทุกๆชีวิต ไม่จำกัดเชื้อชาติ สีผิว ลัทธิความเชื่อ คือ ตายแล้วไม่สูญ สัตว์โลกเวียนว่ายในวัฏสงสารนั้นมีอยู่ สุคติภูมิและทุคติภูมิที่ถือกำเนิดตามกรรมเป็นชลาพุชะ (เกิดในครรภ์) อัณฑชะ (เกิดในไข่) สังเสทชะ (เกิดในซากเน่า) และโอปปาติกะ (ผุดมาเกิด) ล้วนมีอยู่ สังขารดับแต่จิตไม่ดับ จิตยังต้องเวียนเกิดในสังสารวัฏอันเป็นสากลไม่จบสิ้น

ดังนั้น สิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ ไม่เคยยิน ไม่เคยอ่าน ไม่เคยเจอ ไม่เคยไป ไม่เชื่อ จึงไม่ใช่ไม่มีจริง เพียงแต่ถูกปิดกั้นด้วยญาณทัศนะเห็นจำคิดรู้ และอวิชชาของแต่ละปัจเจกชน ทำให้คิดผิดเห็นผิดรู้ผิดๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงในภพสามและนำมาถ่ายทอดแก่สัตว์โลก ดังนั้นก่อนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อจึงควรแสวงหาความรู้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสสำคัญในการทำบุญอุทิศกุศลเป็นเสบียงบุญสู่สุคติภูมิแก่ผู้ตาย

“หนึ่งร้อยวัน*” หัวเลี้ยวหัวต่อสู่ภพภูมิใหม่

หากมีบุญหนุนนำย่อมเดินทางสู่สุคติมีความสุขยาว ในทางตรงกันข้าม หากบาปอบายมุขมากย่อมไม่พ้นนรกทุกข์ยาวนาน บุญต้นทุนที่กระทำด้วยตนเองในขณะมีชีวิตผนวกกับบุญสมทบที่ครอบครัวหรือบุคคลที่สามอุทิศกุศล มีผลสำคัญต่อการเดินทางสู่ภพภูมิของทุกชีวิตหลังชีวิต
หนึ่งร้อยวันนี้จึงมีสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้ตายได้ตรึกระลึกถึงบุญกุศลความดีทั้งหลายที่ได้ทำในขณะมีชีวิต การสร้างบรรยากาศสภาพแวดล้อมที่เป็นกุศลจากครอบครัว (สามี/ภรรยา พี่/น้อง ลูก/หลาน พ่อ/แม่) มีผลต่อการทบทวนบุญกุศลความดีของผู้วายชนม์ ระยะเวลาหนี่งร้อยวันนี้ครอบครัวจำเป็นต้องหมั่นสร้างบุญกุศลด้วยการทำทาน รักษาศีล ภาวนาปฏิบัติธรรม อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

เมื่อครบวันที่หนึ่งร้อยเป็นวันกำหนดพิพากษาบุญบาปของผู้วายชนม์ทั้งหลายสู่ภพภูมิต่างๆตามกรรมของแต่ละดวงจิต จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา “เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้” (ม.มู. ๑๒/๖๔) ในทางตรงข้าม จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา “เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติ(นรก)เป็นที่ไป”

*เวลาในแต่ละภพภูมิไม่เท่ากัน หนึ่งร้อยวันเปรียบเสมือนอัตราเทียบช่วงเวลาในทางโลกที่ตรงกับวันพิพากษาส่งดวงจิต

ไปที่ชอบที่ชอบ

เหตุสากลที่ไม่เกี่ยวกับชนชาติ ลัทธิ ศาสนาประเพณี ความเชื่อใดๆสู่ทุคติและสุคติ เรียกว่า “กรรมบถ” คือกรรมที่ประกอบด้วยเจตนาผ่านทางกาย-วาจา-ใจ (กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม) ชอบแบบไหนกระทำแบบไหน ก็ไปตามแรงกรรม

อกุศลกรรมบถ 10 คือ ฆ่าสัตว์ ลัดทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภอยากได้ของเขา พยาบาทจองเวร เห็นผิดจากธรรม กรรม 10 ประการนี้ ผู้ใดได้กระทำ จิตย่อมเศร้าหมอง เมื่อละโลกย่อมเกิดในทุคติ ดังพุทธวจนะ “จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติปาฏิกังขา” เมื่อจิตเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ทุคติ(นรก)เป็นที่ไป

กุศลกรรมบถ 10 คือ การงดเว้นอกุศลกรรมบถข้างต้นทั้ง 10 ประการแต่กระทำในสิ่งตรงกันข้าม คือ มีเมตตา ประกอบสัมมาอาชีวะ พูดจริง ให้อภัย ไม่เห็นผิดเป็นชอบ เป็นต้น เมื่อละโลกย่อมเกิดในสุคติภูมิ “จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติปาฏิกังขา” เมื่อจิตไม่เศร้าหมองสุคติเป็นอันหวังได้

ข้อปฏิบัติเมื่อไปงานสวดอภิธรรม งานทำบุญอุทิศกุศล 50 – 100 วัน

หากไปงานสวดอภิธรรมเพียงแค่งานสังคม ไปเพราะเกรงใจ ไปเพื่อหน้าตา นั่งคุยนั่งเล่นโทรศัพท์ขณะพระสวด นินทาคนตายสอดรู้สอดเห็นเรื่องครอบครัวผู้ตาย หรือแม้แต่เพื่อพบปะสังสรรค์เพื่อนร่วมรุ่น พูดคุยกันระหว่างประกอบพิธี ล้วนเป็นมารยาทที่ไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง เพราะความสำคัญของการไปร่วมงานศพคือเพื่ออุทิศกุศลต่อผู้วายชนม์ หากแม้นไปแล้วได้คุยไม่ได้มีสมาธิใส่ใจในขณะคณะสงฆ์สวดอภิธรรม กรวดน้ำไปก็ย่อมว่างเปล่าด้วยบุญกุศล ไม่สามารถอุทิศกุศลต่อผู้วายชนม์แน่นอน

หน้าที่พึงปฏิบัติเมื่อไปงานศพคือ

1.ไปเพื่อกราบขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันต่อผู้วายชนม์ ที่ได้เคยผิดพลาดทั้งในปัจจุบันและอดีตชาติ ทั้งที่ระลึกได้ก็ดีมิระลึกได้ก็ดี เพื่อความบริสุทธิ์กายวาจาใจต่อการเดินทางในสังสารวัฏ

2.ไปเพื่อร่วมอุทิศกุศลเป็นบุญสมทบต่อผู้วายชนม์ผ่านครอบครัวผู้วายชนม์ มีกุศลจิตมอบปัจจัยนำไปทำบุญต่างๆเพื่ออุทิศกุศลและเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆในระหว่าางการประกอบพิธีสวดอภิธรรมด้วยความเคารพ

3.ไปเพื่อแสดงความเห็นใจ ไปเป็นกำลังใจต่อครอบครัวผู้วายชนม์ด้วยความจริงใจ มีน้ำใจช่วยกิจในระหว่างการประกอบศาสนพิธีสวดอภิธรรมด้วยความเคารพต่อผู้วายชนม์

4.ไปงานสวดอภิธรรม ไปเพื่อระลึกมรณานุสติ ว่าทุกๆสรรพชีวิตล้วนต่างเป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น ความตายไม่มีนิมิตหมายไม่จำกัดวัยและฐานะ เมื่อมีชีวิตอยู่พึงกระทำความดีสร้างบุญกุศลด้วยความไม่ประมาทต่อตนเองครอบครัวและสังคม ไม่พึงพลัดวันประกันพรุ่งในการดูแลพ่อแม่ครอบครัวและหน้าที่การงาน เพราะเราต่างไม่รู้นิมิตหมายวันละโลกว่าเมื่อใด
การทำบุญ 50-100 วันที่บ้าน จึงเป็นอีกวาระสำคัญที่จะแก้ไขความบกพร่องการอุทิศกุศลที่ผ่านมาระหว่างงานศพ ด้วยเหตุที่หลายๆงานศพครอบครัวอาจไม่ได้เตรียมใจการจากไปของผู้วายชนม์ บ้างก็จัดด้วยความเศร้าโศกเสียใจขาดสติ บ้างก็เสียเวลาไปกับการต้อนรับแขกที่มาร่วมงานศพ บ้างก็ขาดการจัดการเครื่องไทยธรรมถวายสังฆทานที่เหมาะสม หลายๆงานศพพลาดด้วยการใช้ของเวียนทำบุญทั้งชุดไตรและชุดไทยธรรม หรือแม้แต่การทอดผ้าบังสุกุลครั้งสุดท้ายที่เมรุก็กลับให้แขกผู้มีเกียรติถวาย แต่ครอบครัวกลับละเลยไม่ได้ทอดวางด้วยตนเอง เป็นต้น

เดชะบุญจัดงานทำบุญ 50-100 วันที่บ้านด้วยความเคารพในธรรม จึงเป็นโอกาสสุดท้ายที่ครอบครัวจะทำบุญอย่างถูกต้อง ฟังมนต์ด้วยจิตภาวนาอย่างมีสติ จัดทำบุญถวายอย่างเหมาะสมด้วยความเคารพต่อคณะสงฆ์และผู้วายชนม์ มีสมาธิไม่วุ่นวายใจในระหว่างการประกอบพิธีสงฆ์ ที่สำคัญครอบครัวสามารถอุทิศกุศลแด่ผู้วายชนม์เป็นเสบียงบุญสมทบก่อนการพิพากษาสู่ภพใหม่เมื่อครบวาระ 100 วัน

ตายแล้วไปไหน

สังสารวัฏ

สังสารวัฏ หมายถึงการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆของสัตว์โลกไม่แบ่งแยกประเทศเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ความเชื่อใดๆ เป็นไปตามอำนาจของ กิเลส กรรม วิบาก ตราบใดที่ยังมีกิเลสเป็นเครื่องขับเคลื่อนการกระทำต่างๆทั้งดีและชั่ว ผ่านกายวาจาใจ เมื่อกระทำแล้วก็เป็นเหตุให้ได้รับผลกรรมตามที่ตนกระทำ กรรมบางกระทำส่งผลในชาตินี้(ทิฏฐธัมมเวทนียกรรม) กรรมบางกระทำให้ผลในชาติหน้า(อุปัชชเวทนียกรรม) หรือชาติถัดๆไป(อปราปริยเวทนียกรรม) กรรมส่งผลให้เกิดในคติภูมิที่แตกต่างกัน 2 ภพภูมิ คือ สุคติภูมิ (ประกอบด้วย มนุษย์ภูมิ1 เทวภูมิ6 พรหม16 อรูปพรหม4)และ ทุคติภูมิ (ประกอบด้วย สัตว์นรก สัตว์เปรต สัตว์อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน)

ตายแล้วไม่สูญ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริง และนำความรู้แจ้งในสามภพยืนยันการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมต่างๆไว้ในเทวทูตสูตร ความว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงวิสัยมนุษย์
หมู่สัตว์ที่ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ว่าร้ายพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หลังจากตายไปแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
หมู่สัตว์ที่ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าร้ายพระอริยเจ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หลังจากตายไปแล้วย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก”

ทุกๆสรรพชีวิต ไม่จำกัดเชื้อชาติ ดินแดน สีผิว เผ่าพันธุ์ ลัทธิความเชื่อ ฯลฯ ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมสากลเดียวกัน มีไตรลักษณ์หรือสามัญญลักษณะ 3 ประการเหมือนกัน คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อันเป็นกฎกำหนดที่แน่นอนของทุกๆสังขาร กายดับแต่จิตไม่ดับยังต้องเวียนว่ายในวัฏสงสาร การเดินทางของดวงจิตเป็นไปตามกิเลสความคุ้นเคยของกรรม มีวิบากส่งผลต่อการกระทำในอดีต ภพภูมิการเดินทางของจิตที่ยังชุ่มด้วยกิเลสมีสองทางหลักคือ สุคติภูมิและทุคติภูมิเท่านั้น

สุคติภูมิ หมายถึงดินแดนที่ร่มรื่นดีงาม เปี่ยมด้วยความสุขจากกุศลกรรม ทุคติภูมิ ในทางกลับกัน หมายถึงดินแดนที่ทุกข์แสนสาหัสจากทัณฑ์ทรมานเนื่องด้วยอกุศลกรรมที่ก่อเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ ในทางโลกกรรมชั่วอาจถูกบิดเบือนด้วยช่องว่างข้อกฎหมาย หรืออาจปิดบังได้ตลอดชีวิตโดยไม่มีใครล่วงรู้ แต่เมื่อละโลกแล้วกรรมต่างๆล้วนถูกเปิดเผยไม่อาจปิดบังบิดเบือนย่อมต้องรับโทษทัณฑ์แสนทรมานด้วยกฎแห่งกรรมอย่างหลีกเบี่ยงไม่ได้
เขียนบันทึกศึกษาโดยอาจารย์วิสิทธิ์ คุณนิรันดร / เดชะบุญ

“ความเชื่อ” มีถูกมีผิดมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
“ความจริงในวัฏสงสาร” คือสัจจธรรมสากลเหนือกาลเวลา

ภาพบรรยากาศ

ปรึกษาติดต่อจัดงานทำบุญอุทิศกุศล 50-100 วัน ด้วยสัมมาทิฏฐิที่

อาจารย์วิสิทธิ์ คุณนิรันดร

082-651-6246 089-813-5885

อีเมล : dechaboon4u@gmail.com

ความหวังเดียวที่ผู้วายชนม์ปรารถนาคือ “บุญ” อันนำมาซึ่งสุคติ